Month: พฤษภาคม 2022

จบให้ดี

ในขณะที่ฉันเข้าสู่ช่วงสองนาทีสุดท้ายของโปรแกรมออกกำลังกายสี่สิบนาที ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าครูฝึกจะต้องตะโกนว่า “จบให้ดีนะ!” ครูฝึกส่วนตัวหรือผู้นำการออกกำลังกายแบบกลุ่มที่ฉันรู้จักจะพูดประโยคนี้ก่อนการคูลดาวน์ พวกเขารู้ว่าตอนจบของการออกกำลังนั้นสำคัญพอๆกับการไปออกกำลังกาย และพวกเขาก็รู้ว่าร่างกายของมนุษย์มีแนวโน้มที่อยากจะทำงานช้าลงหรือเฉื่อยลงหลังจากมีการขยับเขยื้อนมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง

เช่นเดียวกับการเดินทางของเรากับพระเยซู เปาโลบอกผู้ปกครองในคริสตจักรเอเฟซัสว่าท่านจำเป็นต้องบากบั่นไปให้สุดทางขณะที่ท่านจะมุ่งหน้าไปกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งท่านมั่นใจว่าจะต้องพบกับการข่มเหงที่หนักกว่าเดิมในฐานะอัครทูตของพระคริสต์ (กจ.20:17-24) แต่กระนั้นเปาโลไม่หวั่นไหว ท่านมีเป้าหมายคือการทำหน้าที่ที่เริ่มต้นไว้ให้สำเร็จ และทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้า ท่านมีงานเดียวคือ การประกาศ “ข่าวประเสริฐซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้า” (ข้อ 24) และท่านอยากจะทำให้สำเร็จด้วยดี แม้ความยากลำบากจะคอยท่าท่านอยู่ (ข้อ 23) ท่านยังคงมุ่งไปสู่หลักชัย ด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดในเส้นทางนั้น

ไม่ว่าเราจะกำลังออกกำลังฝ่ายร่างกาย หรือกำลังฝึกฝนของประทานที่พระเจ้าประทานให้ผ่านทางการงาน คำพูด และการกระทำ เราเองก็สามารถรับการหนุนน้ำใจจากคำเตือนที่จะจบให้ดีได้ อย่า “เมื่อยล้า” (กท.6:9) อย่ายอมแพ้ พระเจ้าจะประทานสิ่งจำเป็นให้เพื่อที่คุณจะได้จบอย่างสวยงาม

เดินผ่านพระพร

ในปี 1799 คอนราด รี้ด ในวัยสิบสองขวบพบก้อนหินขนาดใหญ่ส่องประกายระยิบระยับในลำธารที่ไหลผ่านฟาร์มเล็กๆของครอบครัวเขาในนอร์ทแคโรไลน่า เขานำมันกลับมาบ้านให้พ่อซึ่งเป็นชาวนาอพยพที่ยากจนดู พ่อไม่รู้ค่าของหินนั้นและใช้มันเป็นที่ดันประตู พวกเขาเดินผ่านหินก้อนนั้นไปมาอยู่หลายปี

ต่อมา ก้อนหินของคอนราดซึ่งแท้จริงแล้วเป็นก้อนทองคำหนักกว่าเจ็ดกิโลกรัมไปสะดุดตาช่างทำอัญมณีท้องถิ่นเข้า หลังจากนั้นไม่นานครอบครัวรี้ดจึงร่ำรวยขึ้น และที่ดินของพวกเขากลายเป็นแหล่งขุดทองแห่งแรกในยุคตื่นทองของสหรัฐอเมริกา

บางครั้งเราเดินเลยผ่านพระพรไปเพราะจดจ่ออยู่กับแผนการและวิธีการของเราเอง พระเจ้าทรงประกาศอิสรภาพแก่อิสราเอลอีกครั้งหนึ่งหลังจากพวกเขาถูกเนรเทศให้ไปบาบิโลนเพราะไม่เชื่อฟังพระองค์ พระองค์ยังเตือนด้วยว่าพวกเขาพลาดอะไรไป ทรงตรัสว่า “เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้สั่งสอนเจ้าเพื่อประโยชน์ของเจ้า ผู้นำเจ้าในทางที่ควรเจ้าจะไป โอ ถ้าเจ้าได้เชื่อฟังบัญญัติของเราแล้ว ความสุขสมบูรณ์ของเจ้าจะเป็นเหมือนแม่น้ำ และความชอบธรรมของเจ้าจะเป็นเหมือนคลื่นทะเล” จากนั้นพระเจ้าทรงหนุนน้ำใจให้พวกเขาติดตามพระองค์ออกจากวิถีแบบเก่าสู่ชีวิตใหม่ว่า “จงไปเสียจากบาบิโลน...จงประกาศข้อนี้ด้วยโห่ร้องชื่นบาน” (อสย.48:17-18, 20)

การออกจากบาบิโลน ทั้งในสมัยก่อนและอาจจะในสมัยนี้นั้นหมายถึงการออกจากวิถีแห่งบาป และ “กลับบ้าน” มาหาพระเจ้าผู้ทรงปรารถนากระทำสิ่งดีเพื่อเรา ถ้าเราเชื่อฟังและติดตามพระองค์

คุ้มค่าที่จะแบ่งปันเสมอ

หลังจากฉันมาเป็นผู้เชื่อในพระเยซู ฉันได้แบ่งปันข่าวประเสริฐกับแม่ของฉัน แทนที่แม่จะตัดสินใจเชื่อพระเยซูอย่างที่ฉันคาดหวังไว้ แม่กลับไม่พูดกับฉันเลยเป็นเวลาหนึ่งปี ประสบการณ์เลวร้ายกับคนที่อ้างว่าติดตามพระเยซูทำให้แม่ไม่ไว้ใจผู้เชื่อในพระคริสต์ ฉันอธิษฐานเผื่อท่านและติดต่อท่านทุกสัปดาห์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปลอบประโลมและยังคงทำงานในใจฉันขณะที่แม่ไม่ตอบสนองใดๆ ในที่สุดเมื่อแม่ยอมรับโทรศัพท์จากฉัน ฉันจึงอุทิศทุ่มเทที่จะรักและแบ่งปันข่าวประเสริฐกับท่านทุกครั้งที่มีโอกาส หลายเดือนหลังจากที่เราคืนดีกัน แม่บอกว่าฉันเปลี่ยนไป เกือบปีต่อมาแม่ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และส่งผลให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ผู้เชื่อในพระเยซูสามารถเข้าถึงของขวัญยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงมอบแก่มนุษย์ นั่นคือพระคริสต์ อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ทรงโปรดประทานกลิ่นหอมแห่งความรู้ของพระองค์ ให้ปรากฏด้วยตัวเราทุกแห่ง” (2 คร.2:14) ท่านเรียกผู้ที่แบ่งปันข่าวประเสริฐว่าเป็น “กลิ่นอันหอมหวาน” สำหรับผู้ที่เชื่อ แต่เป็นกลิ่นแห่งความตายสำหรับผู้ที่ปฏิเสธพระเยซู (ข้อ 15-16)

หลังจากที่เรารับพระคริสต์เป็นองค์พระผู้ช่วยให้รอด เราก็มีสิทธิพิเศษในการใช้เวลาอันจำกัดบนโลกนี้เพื่อจะรักผู้อื่นและประกาศความจริงของพระองค์ที่เปลี่ยนชีวิต แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดและโดดเดี่ยวที่สุด เรายังสามารถวางใจได้ว่าพระองค์จะจัดเตรียมสิ่งจำเป็นแก่เรา ไม่ว่าเราจะต้องแลกกับอะไร ข่าวประเสริฐของพระเจ้าก็คุ้มค่าที่จะแบ่งปันเสมอ

สลักความเศร้า

หลังจากได้รับคำวินิจฉัยที่ร้ายแรงว่าเป็นมะเร็งสมองชนิดที่พบได้ยากและไม่มีทางรักษา แคโรไลน์ได้พบกับความหวังและเป้าหมายใหม่ผ่านการรับใช้ที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือการเป็นอาสาสมัครช่วยถ่ายรูปเด็กที่ป่วยหนักและครอบครัวของพวกเขา การรับใช้นี้ช่วยให้ครอบครัวได้บันทึกช่วงเวลาอันล้ำค่าของพวกเขาและลูกๆทั้งในความเศร้าโศกและ “ช่วงเวลาแห่งพระคุณและความงดงามที่เราไม่คิดว่าจะมีอยู่ในที่แห่งความสิ้นหวังเหล่านั้น” เธอสังเกตว่า “ในช่วงเวลาอันยากลำบากเกินกว่าใครจะจินตนาการได้ พวกเขาเหล่านั้น...เลือกที่จะรัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

การมองเห็นสัจธรรมของความทุกข์ทำให้เกิดพลังบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ทั้งในแง่ความจริงที่ความทุกข์นั้นทำร้ายเรา และการที่เราได้พบกับความงดงามและความหวังในท่ามกลางความทุกข์นั้น

เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือโยบเป็นเหมือนภาพถ่ายของความโศกเศร้า ที่ถ่ายทอดเส้นทางชีวิตแห่งการสูญเสียของโยบอย่างตรงไปตรงมา (1:18-19) หลังจากนั่งอยู่กับโยบหลายวัน เพื่อนๆของท่านหมดความอดทนกับความทุกข์ของโยบ พยายามหาทางบรรเทาหรืออธิบายว่ามันคือการพิพากษาของพระเจ้า แต่โยบไม่ตอบรับและยืนยันว่าสิ่งที่ท่านกำลังเผชิญนั้นมีความหมาย และหวังว่าคำพยานจากประสบการณ์ของท่านจะได้รับการ “สลักไว้ในศิลาเป็นนิตย์” (19:24)

ความทุกข์ของท่านถูก “สลักไว้” ในหนังสือโยบ เพื่อชี้ให้เราเห็นถึงพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ในความทุกข์ยากของเรา (ข้อ 26-27) พระองค์ทรงอยู่กับเราในความเจ็บปวด ทรงอุ้มเราผ่านความตายไปสู่ชีวิตที่เป็นขึ้นใหม่

สงครามดอกทานตะวัน

ผมและเจ้ากวางที่อยู่ในละแวกบ้านมีความคิดไม่เหมือนกันเกี่ยวกับดอกทานตะวัน เวลาที่ผมปลูกดอกทานตะวันในฤดูใบไม้ผลิ ผมคอยที่จะได้เห็นความงามของดอกที่บานสะพรั่ง แต่เพื่อนกวางของผมไม่สนใจในผลผลิตที่ได้ พวกมันต้องการแค่จะเคี้ยวกินลำต้นและใบจนหมด ทุกฤดูร้อนเป็นเหมือนสงครามที่ผมพยายามรักษาต้นทานตะวันให้เติบโตเต็มที่ก่อนที่เพื่อนบ้านเท้าสี่กีบจะมาจัดการกินพวกมันจนเกลี้ยง บางครั้งผมก็ชนะ บางครั้งพวกมันก็ชนะ

เมื่อคิดถึงชีวิตของเราในฐานะผู้เชื่อพระเยซู เรามักจะเห็นสงครามคล้ายกันนี้ระหว่างเรากับศัตรูคือซาตาน เป้าหมายของเราคือการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณอันจะทำให้ชีวิตของเราแตกต่างและถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า มารต้องการกัดกินความเชื่อและขัดขวางไม่ให้เราเติบโต แต่พระเยซูทรงเป็นศีรษะ “แห่งปวงเทพผู้ครอง” และทรงสามารถนำเราสู่ “ความครบบริบูรณ์” (คส.2:10) หมายความว่าพระองค์ทรงทำให้เรา “สมบูรณ์” ชัยชนะของพระคริสต์บนไม้กางเขนทำให้เราสามารถยืนโดดเด่นอยู่ในโลกได้เช่นเดียวกับดอกทานตะวันอันงดงาม

เมื่อพระเยซูทรงตรึง “กรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเรา” (โทษทัณฑ์แห่งบาปของเรา) ไว้ที่กางเขน (ข้อ 14) พระองค์ก็ได้ทำลายอำนาจที่ควบคุมเรา เรากลายเป็นผู้ที่ “หยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้น” (ข้อ 7) และถูกทำให้ “มีชีวิตร่วมกับพระองค์” (ข้อ 13) ในพระองค์เรามีอำนาจ (ข้อ 10) ที่จะต่อต้านการโจมตีฝ่ายวิญญาณของศัตรู และจำเริญขึ้นในพระเยซู คือมีชีวิตที่งดงามอย่างแท้จริง

พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่!

ลายนิ้วมือถูกใช้เพื่อระบุตัวตนมนุษย์มานานแล้ว แต่ก็มีการคัดลอกเพื่อปลอมขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับรูปแบบม่านตาของคนเราที่ใช้เป็นเครื่องระบุตัวตนที่เชื่อถือได้ จนกระทั่งมีคนใช้คอนแทคเลนส์เพื่อเปลี่ยนรูปแบบของม่านตาทำให้ผลออกมาผิดเพี้ยน การใช้ลักษณะทางกายภาพเพื่อระบุตัวตนอาจถูกปลอมแปลงได้ แล้วอะไรคือคุณสมบัติที่จะใช้ระบุตัวตนที่มีเพียงหนึ่งเดียวได้ มนุษย์ทุกคนมีรูปแบบหลอดเลือดที่เป็นเอกลักษณ์และปลอมแปลงไม่ได้ “แผนผังเส้นเลือด” เฉพาะบุคคลคือสิ่งระบุตัวตนที่ไม่ซ้ำกับใคร ทำให้คุณแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นบนโลกนี้

การใคร่ครวญถึงความซับซ้อนดังกล่าวของมนุษย์น่าจะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอัศจรรย์ใจและการยกย่องในองค์พระผู้ทรงสร้างเรา ดาวิดเตือนเราว่าพระเจ้าทรงสร้างเราอย่าง “มหัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม” (สดด.139:14 TNCV) และนี่จึงเป็นเหตุที่เราสมควรจะเฉลิมฉลอง ที่จริงแล้วสดุดี 111:2 บอกกับเราว่า “บรรดาพระราชกิจของพระเจ้าใหญ่ยิ่ง เป็นที่ค้นคว้าของทุกคนที่พอใจ”

สิ่งที่มีค่าคู่ควรกับความสนใจของเรายิ่งไปกว่านั้นคือ องค์พระผู้ทรงสร้าง ในขณะที่เราเฉลิมฉลองพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เราต้องเฉลิมฉลองพระองค์ด้วย! พระราชกิจนั้นยิ่งใหญ่ แต่พระองค์ใหญ่ยิ่งกว่า ดังที่ผู้เขียนสดุดีอธิษฐานว่า “เพราะพระองค์ใหญ่ยิ่งและทรงกระทำการอัศจรรย์ พระองค์แต่องค์เดียวทรงเป็นพระเจ้า” (86:10)

วันนี้เมื่อเราใคร่ครวญถึงความยิ่งใหญ่แห่งพระราชกิจของพระเจ้า ให้เรายกย่องชื่นชมในความเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์ด้วย

รักเหมือนที่แม่รัก

ฮวนนิต้าเล่าให้หลานชายฟังถึงการเติบโตขึ้นมาในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในอเมริกา ครอบครัวที่ยากจนของเธอมีเพียงแอปเปิลเพื่อประทังชีวิต และสัตว์ป่าที่พ่อเธอจะล่ามาได้ เมื่อไหร่ที่พ่อจับกระรอกมาทำเป็นอาหารมื้อเย็น แม่ของเธอจะพูดว่า “เอาหัวกระรอกมาให้แม่ แม่อยากกินแต่หัวของมัน เนื้อส่วนนี้อร่อยที่สุด” หลายปีต่อมา ฮวนนิต้าจึงรู้ว่าหัวกระรอกนั้นไม่มีเนื้อ แม่ไม่ได้กินหัวกระรอก แม่แค่แสร้งทำว่ามันเป็นของดีหายาก “เพื่อที่พวกเราลูกๆจะได้กินมากขึ้นโดยไม่ต้องเป็นห่วงท่าน”

วันพรุ่งนี้เมื่อเราจะฉลองวันแม่ ขอให้เราเล่าเรื่องราวการอุทิศทุ่มเทของแม่ของเราเช่นกัน เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับแม่ และเพียรพยายามที่จะรักให้ได้เหมือนที่แม่รัก

เปาโลรับใช้คริสตจักรในเมืองเธสะโลนิกา “เหมือนมารดาที่เลี้ยงดูลูกของตน” (1 ธส.2:7) ท่านรักอย่างเอาจริงเอาจัง ต่อสู้กับ “การต่อต้านอย่างรุนแรง” เพื่อจะบอกพวกเขาเกี่ยวกับพระเยซูและแบ่งปันชีวิตของท่านกับพวกเขา (ข้อ 2, 8) “เมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้ท่านฟัง เราทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเราจะไม่เป็นภาระแก่ผู้ใดในพวกท่าน” (ข้อ 9) ช่างเหมือนแม่
ไม่มีผิด

มีไม่กี่คนที่สามารถต้านทานความรักของแม่ได้ และเปาโลกล่าวอย่างอ่อนน้อมว่าความอุทิศทุ่มเทของท่าน “ไม่ไร้ประโยชน์เลย” (ข้อ 1) เราไม่สามารถควบคุมได้ว่าคนอื่นจะตอบสนองอย่างไร แต่เราเลือกได้ว่าเราจะตั้งใจรับใช้พวกเขาอย่างเสียสละและสม่ำเสมอ แม่จะภูมิใจและพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ก็เช่นกัน

ทรงรู้

ลีอากำลังจะเริ่มทำงานเป็นพยาบาลในประเทศไต้หวัน เธอจะสามารถส่งเสียครอบครัวได้ดีกว่าการอยู่ในกรุงมะนิลาที่โอกาสด้านการงานมีอยู่อย่างจำกัด ในคืนก่อนออกเดินทาง เธอบอกวิธีการกับพี่สาวซึ่งจะเป็นคนดูแลลูกสาววัยห้าขวบของเธอว่า “เขาจะยอมกินวิตามิน ถ้าเอาเนยถั่วหนึ่งช้อนให้เขากินด้วย” ลีอาอธิบายว่า “อย่าลืมว่าเขาเป็นเด็กขี้อาย อีกหน่อยเขาจะค่อยๆกล้าเล่นกับลูกพี่ลูกน้องเอง และเขากลัวความมืด...”

วันรุ่งขึ้นขณะมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน ลีอาอธิษฐานว่า ข้าแต่พระเจ้า ไม่มีใครู้จักลูกสาวของข้าพระองค์ดีเหมือนข้าพระองค์ ข้าพระองค์อยู่กับลูกไม่ได้ แต่พระองค์ทรงทำได้

เรารู้จักคนที่เรารัก และเราสังเกตรายละเอียดทุกอย่างของพวกเขาเพราะพวกเขามีค่าสำหรับเรา เมื่อเราไม่สามารถอยู่กับพวกเขาได้เพราะสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย เรามักจะวิตกว่าเมื่อไม่มีใครรู้จักเขาดีเท่าเรา พวกเขาอาจตกอยู่ในอันตรายได้ง่ายกว่า

ในพระธรรมสดุดี 139 ดาวิดเตือนเราว่าพระเจ้าทรงรู้จักเราดีกว่าใคร และทรงรู้จักคนที่เรารักเป็นอย่างดีด้วย (ข้อ 1-4) พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้สร้างของพวกเขา (ข้อ 13-15) พระองค์จึงทรงเข้าใจในความต้องการทุกอย่างที่พวกเขามี พระองค์ทรงรู้ว่าในแต่ละวันจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขา (ข้อ 16) พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วยและจะไม่มีวันทอดทิ้งพวกเขา (ข้อ 5, 7-10)

เมื่อคุณกังวลถึงใคร จงฝากเขาไว้กับพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงรู้จักคนเหล่านั้นดีที่สุด และรักพวกเขามากที่สุด

พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย

ผมท่องคำอธิษฐานของพระเยซูเกือบทุกเช้า ชีวิตในวันใหม่ของผมไม่มีค่าอะไรมากนักจนกว่าจะได้ตั้งหลักอยู่บนคำอธิษฐานนั้น เมื่อเร็วๆนี้ ขณะที่ผมกำลังเริ่มพูดว่า “ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมสะดุ้งเพราะตอนนั้นเพิ่งเป็นเวลาตีห้ากว่า ลองทายสิว่าใครโทรมา ที่หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นคำว่า “พ่อ” เสียงโทรศัพท์ดังแล้วเงียบไปอย่างรวดเร็วก่อนที่ผมจะทันรับสาย ผมเดาว่าพ่อคงจะกดผิด ใช่แน่ๆ มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ ก็อาจใช่ แต่ผมเชื่อว่าเราอาศัยอยู่ในโลกที่ท่วมท้นไปด้วยพระเมตตาของพระเจ้า วันนั้นเป็นวันที่ผมต้องการความมั่นใจถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระบิดา

ลองคิดดูสิ พระเยซูทรงสามารถสอนสาวกให้เริ่มต้นคำอธิษฐานได้มากมายหลายแบบ แต่ทรงเลือกคำว่า “พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย” (มธ.6:9) เป็นคำเริ่มต้น นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือ ไม่ใช่เลย พระเยซูทรงมีความตั้งใจในสิ่งที่ตรัสเสมอ เราทุกคนมีความสัมพันธ์กับพ่อฝ่ายโลกในแบบที่แตกต่างกัน บ้างดี บ้างไม่ดี แต่การอธิษฐานที่เราควรทำไม่ใช่การร้องเรียก “พ่อของฉัน” หรือ “พ่อของเธอ” แต่เป็น “พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย” ผู้ทรงมองเห็นและได้ยินเรา และทรงรู้ถึงความต้องการของเราแม้ก่อนที่เราจะทูลขอพระองค์ (ข้อ 8)

ช่างเป็นคำยืนยันรับรองที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในวันที่เราอาจรู้สึกเหมือนถูกลืม อยู่เพียงลำพัง ถูกทอดทิ้ง หรือรู้สึกไร้ค่า จงจำไว้ว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน และไม่ว่าเวลาใดในยามกลางวันหรือกลางคืน พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ของเราทรงอยู่ใกล้เราเสมอ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา